ที่มาและความหมายพร้อมตัวอย่างการนำไปใช้ของสำนวน สุภาษิต และคำพังเพย
ตัวอย่างสำนวนไทย
กระโถนท้องพระโรง
คำสำนวนไทย “กระโถนท้องพระโรง” มีความหมายว่า
ผู้ที่ใครๆก็ใช้ได้หรือผู้ที่ใครๆก็พากันรุมใช้อยู่คนเดียวเหมือนอย่างกระโถงท้องพระโรงซึ่งใครๆ
ก็บ้วนน้ำลายหรือทิ้งของลงที่นั่น
ที่มาของคำสำนวนไทย กระโถนท้องพระโรง
มาจากการที่คนในสมัยก่อนได้นำกระโถนใหญ่ไปตั้งไว้ในท้องพระโรง หรือในศาลาลูกขุนใน
ซึ่งเป็นที่ทำการของข้าราชการชั้นสูง กระโถนที่ตั้งไว้นี้ใช้เป็นที่สำหรับให้ใคร ๆ
บ้วนน้ำลาย บ้วนน้ำหมาก หรือทิ้งชานหมากได้ ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “ใครๆเขาก็ว่างานเลขานุการ ก็เหมือนกับกระโถนท้องพระโรงที่ต้องคอยรองรับอารมณ์เจ้านายอยู่เรื่อยๆ แถมยังต้องทำทุกอย่างสารพัด”
เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
คำสำนวนไทย “เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา” มีความหมายว่า
บอกหรือสอนไม่ได้ผล
ที่มาของคำสำนวนไทย เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
มาจากการที่ในสมัยโบราณท่านใช้ว่าคนที่สอนไม่จำ
ไม่สามารถสั่งสอนให้จดจำหรือเข้าใจด้วยวิธีการปกติได้
เปรียบได้กลับคำสั่งสอนนั้นวิ่งเข้าทางหูข้างซ้ายแล้ววิ่งทะลุออกหูขวาในทันที
โดยไม่ได้วิ่งเข้าสมองเลย
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “นี่เธอ อย่าไปสอนงานอะไรให้พี่เขาเลย
ไม่มีประโยชน์หรอก เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหมด ฉันลองมาหลายรอบแล้ว”
คนดีผีคุ้ม
คำสำนวนไทย “คนดีผีคุ้ม” มีความหมายว่า
คนทำดีย่อมไม่มีภัย
ที่มาของคำสำนวนไทย คนดีผีคุ้ม
มาจากการที่ให้กำลังใจแก่คนทำความดี
ว่าทำแล้วผีหรือเทวดาจะคุ้มครองให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง ไม่เหมือนคนทำชั่ว
ซึ่งมักจะประสบแต่สิ่งที่ไม่ดี สำนวนนี้มีความหมายคล้ายกับคำว่า
คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไปไม่ไหม้
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “นี่แหละนะที่เขาว่า คนดีผีคุ้ม รถชนยับซะขนาดนั้นเป็นใครก็ว่าไม่รอด
แต่นี่นายกลับมีแค่รอยฟกช้ำเท่านั้นเอง”
จับปูใส่กระด้ง
คำสำนวนไทย “จับปูใส่กระด้ง” มีความหมายว่า
พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง ไม่มีระเบียบ ซุกชน ทำให้อยู่นิ่งๆได้ยาก
ที่มาของคำสำนวนไทย จับปูใส่กระด้ง
มาจากการที่ในสมัยโบราณมีการจับปูมาเพื่อนำมาเป็นอาหาร ปูนั้นเป็นสัตว์ที่ไม่อยู่นิ่งเฉยๆ
เมื่อถูกจับไปไว้ในกระด้ง มันก็จะหาทางเดินออกจากกระด้งตลอดไม่ยอมหยุดอยู่เฉย
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “งานประกวดการแสดงของเด็กอนุบาลนี่ทำเอาเหนื่อยไปตามๆกัน
กว่าเป็นแบบนี้ได้ก็เหมือนตามจับปูใส่กระด้ง เด็กๆ วิ่งกันให้วุ่นไปหมด”
จระเข้ขวางคลอง
คำสำนวนไทย “จระเข้ขวางคลอง” มีความหมายว่า
ทำตัวกีดขวางผู้อื่น จนก่อให้เกิดความรำคาญ
ที่มาของคำสำนวนไทย จระเข้ขวางคลอง
มาจากการที่ในสมัยก่อนแม่น้ำลำคลองยังมีจระเข้ชุกชุมถ้าชาวบ้านพายเรือไปในคลองและพบจระเข้นอนขวางอยู่ก็จำเป็นต้องหยุดเรือตรงนั้นพายเรือต่อไปไม่ได้
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “คนใช้รถสมัยนี้ทำอะไรเอาแต่ความสะดวกของตัวเอง
อยากจอดรถตรงไหนก็จอด ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง ไม่คิดว่ามันทำให้การจราจรติดขัดเลย”
ปลาหมอตายเพราะปาก
คำสำนวนไทย “ปลาหมอตายเพราะปาก” มีความหมายว่า
คนที่พูดอะไรพล่อยๆ จนได้รับอันตราย
ที่มาของคำสำนวนไทย ปลาหมอตายเพราะปาก
มาจากการที่ปลาหมอเวลาอยู่ในน้ำชอบที่จะโผล่ปากขึ้นมาหายใจบ่อยๆ
ทำให้คนที่ตกปลาจับสังเกตได้
เมื่อเห็นปลาหมอโผล่มาบริเวณไหนก็จะนำคันเบ็ดที่มีเหยื่อไปหย่อนไว้
ปลาหมอก็กินเหยื่อและถูกตกได้ในที่สุด
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “พนักงานคนนั้นถูกพักงานเพราะไปนินทาลูกค้าให้เพื่อนร่วมงานฟัง
แต่ลูกค้าบังเอิญมาได้ยิน เรื่องจึงไปถึงผู้จัดการ ปลาหมอตายเพราะปากจริงๆ”
ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
คำสำนวนไทย “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” มีความหมายว่า
คนมั่งมีแต่แต่งตัวซ่อมซ่อ
ที่มาของคำสำนวนไทย ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
มาจากการที่เราเห็นผ้าขี้ริ้วเราก็จะรู้สึกว่าสกปรกหรือไม่น่าพิสมัย
แต่หารู้ไม่ว่าข้างในผ้าขี้ริ้วนั้นมีของมีค่าก็คือทองอยู่ข้างใน
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “ที่ดินรกร้างแปลงนี้ประกาศขายอยู่หลายปีไม่มีใครซื้อ
ซึ่งแท้จริงที่ดินแปลงนี้เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง เพราะบริเวณนั้นกำลังจะมีการสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูง
ทำให้ที่ดินแถวนั้นมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก”
ตัวอย่างสุภาษิตไทย
ดูช้างให้ดูหาง
ดูนางให้ดูแม่
คำสุภาษิตไทย “ดูช้างให้ดูหาง
ดูนางให้ดูแม่” มีความหมายว่า การพิจารณาเลือกผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ครอง
โดยให้ดูแม่ของผู้หญิงคนนั้นประกอบ เพราะลูกจะดีได้ก็ต้องมาจากแม่ที่ดี
ที่มาของคำสุภาษิตไทย ดูช้างให้ดูหาง
ดูนางให้ดูแม่ มาจากการที่คนโบราณ
(ดูช้างให้ดูที่หาง) จะดูเวลาช้างพังตกลูกเป็นช้างเผือก พวกช้างพังและช้างพลายจะช่วยกันย้อมกายของลูกมัน ด้วยกันใช้
ใบไม้หรือขี้โคลนดำๆพ่นทับให้สีเผือกกลายเป็นสีนิล เพื่อให้คนรู้แต่จะมีร่องรอยอยู่อย่างหนึ่ง
คือ ที่หางจะมีสีขาวหลงเหลืออยู่
คนโบราณ
(ดูนางให้ดูแม่) จะดูผู้หญิงที่จะมาเป็นสะใภ้ในบ้านหรือหมู่ญาติต้องดูที่
นิสัยใจคอ หรืองานบ้านงานเรือน และกริยามารยาทร่วมไปถึงคำพูดคำจา
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “นี่คุณอยากจะหาแฟนให้ลูกก็ไม่เห็นต้องไปหาที่ไหนไกล
ดูช้างให้ดูหางดูนางให้ดูแม่นะคะ
คุณจันทร์ที่อยู่ตรงข้ามบ้านเรามีลูกสาวท่าทางเข้าที เพราะแม่ก็ดูเป็นกุลสตรี
เรียบร้อย ลูกสาวก็ต้องเหมือนแม่จริงไหม”
บัวไม่ให้ช้ำ
น้ำไม่ให้ขุ่น
คำสุภาษิตไทย “บัวไม่ให้ช้ำ
น้ำไม่ให้ขุ่น” มีความหมาย บุคคลที่ทำการประนีประนอมกับคนสองคน
โดยพยายามหลีกเลี่ยงหรือไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้นและพยายามไม่ให้ผิดใจกับคนทั้งสองฝ่าย
ที่มาของคำสุภาษิตไทย บัวไม่ให้ช้ำ
น้ำไม่ให้ขุ่น มาจากการที่พายเรือในลำคลองหากมีการพายอย่างระวังดอกบัวก็จะไม่ช้ำ
และลำคลอง (น้ำ) ก็จะไม่ขุ่น
ซึ่งเป็นคำที่คนโบราณใช้เป็นกุศโลบายในการสอนผู้อื่นพายเรือ
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “เป็นเพื่อนบ้านกันปัญหาแค่นี้
ค่อยๆพูดกันดีกว่า ทำยังไงให้บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น เพราะยังไงก็ต้องเห็นหน้ากันไปตลอด”
ช้าๆได้พร้าเล่มงาม
คำสุภาษิตไทย “ช้าๆได้พร้าเล่มงาม” มีความหมาย
การทำอะไรซักอย่างควรจะทำด้วยความรอบคอบ ไม่ต้องรีบร้อน ทำไปแล้วเก็บรายละเอียดดีๆ
ก็จะได้ผลงานที่ออกมาดี
ที่มาของคำสุภาษิตไทย ช้าๆได้พร้าเล่มงาม
มาจากการที่จะตีพร้าสักเล่มนึงนั้น
หากรีบร้อนตีก็จะทำพร้ามีผิวที่ไม่เนียนและไม่แข็งแรง หากค่อยๆตี
ค่อยๆทำก็จะทำให้พร้ามีความสวยงามมากขึ้น
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อรถต้องค่อยๆ
พิจารณาหาจุดดีจุดด้อยของรถที่จะซื้อ ดูให้ละเอียดรอบด้าน รวมถึงประโยชน์ใช้สอย เหมือนกับที่เขาว่าช้าๆได้พร้าเล่มงาม”
รักวัวให้ผูก
รักลูกให้ตี
คำสุภาษิตไทย “รักวัวให้ผูก
รักลูกให้ตี” มีความหมาย หากลูกทำผิดก็ควรอบรมสั่งสอน
ดุด่าว่ากล่าว และลงโทษเมื่อกระทำความผิดตามสมควร
ที่มาของคำสุภาษิตไทย รักวัวให้ผูก
รักลูกให้ตี มาจาก “รักวัวให้ผูก” เปรียบเปรยถึง
ถ้ารักวัวก็ให้ผูกเชื่อล่ามกับต้นไม้ไว้ แม้วัวไม่ชอบใจก็ต้องทำ เพื่อไม่ให้วัวถูกขโมยหรือหนีหายไป
ส่วน
“รักลูกให้ตี” เปรียบเปรยว่า หากรักลูก เมื่อลูกทำความผิดก็ต้องตี เพื่อลูกจะได้เติบโตมาเป็นคนดี
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “ครอบครัวนี้เลี้ยงลูกมาดี
ไม่เคยให้ท้ายลูกเลย เข้าทำนองรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี
จนตอนนี้ลูกแต่ละคนก็ได้ดิบได้ดี เป็นที่รักใคร่ไปแล้ว”
รักดีหามจั่ว
รักชั่วหามเสา
คำสุภาษิตไทย “รักดีหามจั่ว
รักชั่วหามเสา” มีความหมาย การประพฤติตนให้อยู่ในคุณงามความดีตั้งใจศึกษาหาความรู้
ชีวิตก็จะพบเจอกับความสุขมีความเจริญในหน้าที่การงาน แต่หากประพฤติตนไม่ดี
ชีวิตก็จะพบเจอกับความยากลำบาก
ที่มาของคำสุภาษิตไทย รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา มาจาก
“จั่ว” ในที่นี้คือจั่วของบ้านสมัยก่อนเป็นแผงไม้รูปสามเหลี่ยมใช้ประกบปิดส่วนที่เป็นโพรงทั้งหัวและท้ายของหลังคาเรือน
เพื่อป้องกัน แดด,ลม,ฝน ส่วน “เสา” คือไม้ท่อนยาวใช้เป็นโครงสร้างหลักรองรับเรือนไม้
ซึ่งจั่วจะอยู่ส่วนบนของเรือนนั้นจะมีน้ำหนักเบากว่า เสา ที่เป็นส่วนรับน้ำหนักทั้งหมดของเรือน
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “คุณตาสอนฉันเสมอว่าให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
เพราะในอนาคตจะได้สบาย
ขี่ช้างอย่าวางขอ
คำสุภาษิตไทย “ขี่ช้างอย่าวางขอ” มีความหมาย
การไว้วางใจผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครอง จนกลายเป็นความประมาทละเลย
ที่มาของคำสุภาษิตไทย ขี่ช้างอย่าวางขอ มาจากการเปรียบได้กับควาญช้างต้องคอยถือขอสับช้าง
บังคับช้างไว้เสมอ ถ้าวางขอหรือไม่ใช้ขอคอยสับไว้ ช้างก็อาจไม่อยู่ในโอวาทของเราได้
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “ฉันเคยเตือนคุณแล้วว่าอย่าขี่ช้างวางขอ
ต่อให้เป็นคนสนิทแค่ไหนก็ตาม คุณต้องเข้าไปดูแลร้าน คอยตรวจสอบบัญชีบ้าง
ไม่ใช่ไว้วางใจให้ลูกน้องทำทุกอย่าง
สุดท้ายก็ถูกลูกน้องยักยอกสินค้าไปโดยไม่รู้ตัว”
รู้หลบเป็นปีก
รู้หลีกเป็นหาง
คำสุภาษิตไทย “รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง” มีความหมาย
รู้จักปรับตัว
หรือเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันตรายต่างๆได้
ที่มาของคำสุภาษิตไทย รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง จากโดยธรรมชาตินกเป็นสัตว์ที่มีปีก มีหาง ทำให้นกสามารถบินหลบหนีศัตรูได้คล่องแคล่วว่องไว
จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยในสำนวน รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “หัวหน้าได้เรียกสมศรีกับเพื่อนๆไปอบรมตักเตือนเรื่องงานที่ลูกค้าตำหนิมา
ซึ่งสมศรีก็ได้แต่ฟังอย่างเดียว เพราะเธอรู้ดีว่าเวลาที่หัวหน้าโมโหไม่ชอบให้ใครพูดแทรก
สมศรีรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง จึงแค่โดนตักเตือน
ไม่ได้โดนหักเงินเดือนเหมือนคนอื่นๆ”
ตัวอย่างคำพังเพย
เกลือเป็นหนอน
คำพังเพย “เกลือเป็นหนอน” มีความหมาย
คนใกล้ชิด คนภายในหน่วยงานของเรา ครอบครัวเราหรือเพื่อนของเรา ทรยศหักหลังเรา
โดยเอาข้อมูลความลับของฝ่ายเราไปบอกกับศัตรูหรือฝ่ายตรงกันข้าม
ทำให้ศัตรูหรือฝ่ายตรงกันข้ามนำข้อมูลนั้นกลับมาเล่นงานเรารู้จักปรับตัว
หรือเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันตรายต่างๆได้
ที่มาของคำพังเพย เกลือเป็นหนอน เนื่องจากความเค็มของเกลือช่วยในการถนอมอาหาร
(เนื้อเค็ม ปลาเค็ม) ทำให้ไม่ให้แมลงวันมาตอมและวางไข่ได้
ซึ่งหากมีแมลงวันมาวางไข่ที่เนื้อก็จะเกิดหนอน
เกลือจึงเปรียบเสมือนสิ่งที่ช่วยปกป้องไม่ให้เนื้อเกิดหนอนขึ้น จึงใช้เปรียบกับคนที่ทรยศว่าเหมือนกับเกลือ
ที่กลับกลายเป็นหนอนมากัดกินเนื้อที่ตนเองดูแลเสียเอง
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “บริษัทของสมชายได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ขึ้นมา
โดยจะนำสินค้าออกวางจำหน่ายในช่วงอาทิตย์หน้าที่จะถึง แต่ปรากฏว่า บริษัทที่เป็นคู่แข่งได้นำเอาผลิตภัณฑ์ในรูปแบบเดียวกันออกวางตลาดไปเมื่อวาน
แน่นอนว่าบริษัทของสมชายจะต้องมีเกลือเป็นหนอน แอบเอาข้อมูลนี้ไปบอกคู่แข่ง”
ใกล้เกลือกินด่าง
คำพังเพย “ใกล้เกลือกินด่าง” มีความหมาย
ผู้ที่อยู่ใกล้สิ่งที่ดีมีคุณค่า
แต่มองไม่เห็นคุณค่านั้น กลับไปหลงชื่นชมกับสิ่งที่มีค่าด้อยกว่า
หรือมองข้ามของดีที่อยู่ใกล้ตัว
กลับไปสนใจไขว่คว้าในสิ่งที่ด้อยกว่าทั้งๆที่อยู่ไกลตัว
หรือสิ่งที่หาได้ง่ายหรืออยู่ใกล้ตัวที่มีคุณค่ากว่ากลับไม่เอาไม่เลือก แต่กลับไปเอาไปเลือกสิ่งที่อยู่ไกลแต่มีคุณค่าด้อยกว่ามาใช้
ที่มาของคำพังเพย ใกล้เกลือกินด่าง มาจากการเปรียบเทียบค่าของ เกลือ กับ
ด่าง เกลือ เป็นวัตถุที่มีรสเค็ม
เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตในการใช้ประกอบอาหาร และยา เป็นต้น
สมัยโบราณเกลือเป็นสิ่งที่มีค่า ราคาแพง เพราะหายาก เกลือมีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์และมีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ช่วยคลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
ป้องกันโรคความจำเสื่อม คอหอยพอก โรคกระเพาะ ฟันผุ กระดูกผุ เป็นต้น ส่วนด่างเป็นของไม่มีราคา ทำขึ้นได้ง่าย โดยใช้น้ำแช่ขี้เถ้า มีรสกร่อย สำหรับทำยา
และกัดสิ่งของ ใช้แทนเกลือไม่ได้ เมื่อพิจารณาประโยชน์ของเกลือและด่างแล้ว จะเห็นว่าเกลือมีประโยชน์ต่อคนทั่วไปมากกว่าด่าง
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “ใกล้เกลือกินด่างแท้ๆ
ในประเทศของเรามีของดี มีราชาผลไม้อยู่มากมาย แต่กลับไปนิยมชมชอบ
ผลไม้นำเข้าจากต่างประเทศ”
กำปั้นทุบดิน
คำพังเพย “กำปั้นทุบดิน” มีความหมาย
การพูดแบบกว้างๆ
อาจจะตรงประเด็นหรือไม่ตรง เป็นการตอบที่ไม่ใช่คำตอบที่ผิด
แต่เป็นการตอบที่ไม่ได้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง
ที่มาของคำพังเพย กำปั้นทุบดิน มาจากการใช้กำปั้นทุบลงพื้นดิน
ไม่ว่าจะทุบไปที่ใดก็ย่อมถูกดินทั้งนั้น
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “ถ้าคุณจะให้คำตอบกำปั้นทุบดิน ไม่มีเหตุผลรองรับแบบนี้
ไม่ต้องตอบก็ได้เพราะฉันก็ไม่ได้คำตอบที่ต้องการอยู่ดี”
แกว่งเท้าหาเสี้ยน
คำพังเพย “แกว่งเท้าหาเสี้ยน” มีความหมาย
คนที่เข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นทั้งๆที่ไม่จำเป็น
จนทำให้ตัวเองนั้นเดือนร้อน
ที่มาของคำพังเพย แกว่งเท้าหาเสี้ยน มาจากการเปรียบเปรยถึงการนำเท้าเปล่าของตนเอง
ไปแกว่งในพื้นดินจนเท้าตัวเองถูกเสี้ยนตำ
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “แกว่งเท้าหาเสี้ยนแท้ๆ อยู่ดีไม่ว่าดี
ไปช่วยตำรวจจับโจร จนตัวเองต้องโดนลูกหลง เกือบเอาชีวิตไม่รอด”
ไก่ได้พลอย
คำพังเพย “ไก่ได้พลอย” มีความหมาย
ได้สิ่งที่มีค่าแต่ไม่รู้คุณค่า เนื่องจากเป็นไก่
เวลาที่มันคุ้ยเขี่ยหาอาหารตามพื้นดิน ไม่ว่าจะเป็นเม็ดทราย หรือ เพชรพลอย
ก็ไม่มีค่าสำหรับไก่เหมือนกัน
ที่มาของคำพังเพย ไก่ได้พลอย มาจากการเปรียบเปรยกับคนที่ได้สิ่งที่มีค่าก็จริง
แต่ไม่ได้มีประโยชน์กับตนเองเลย หรือตนเองไม่ได้รู้จักคุณค่าของสิ่งๆนั้นแม้แต่นิดเดียว
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “ฉันละเสียดายความสามารถในการทำอาหารของสะใภ้บ้านนั้นจริงๆ
ทั้งๆที่เธอทำอาหาร อร่อยมาก แต่ที่บ้านกลับให้เธอทำแต่งานบ้านจำพวกซักผ้า ถูบ้าน
เก็บกวาด ไม่ยอมให้เธอทำอาหารให้กิน อย่างที่โบราณว่าไว้ “ไก้ได้พลอย”
จริงๆเลยนะนั่น”
ดินพอกหางหมู
คำพังเพย “ดินพอกหางหมู” มีความหมาย
นิสัยที่ชอบปล่อยให้การงานคั่งค้างสะสม
ผัดวันประกันพรุ่ง เกียจคร้าน ไม่ยอมทำให้สิ่งนั้นสำเร็จเสร็จสิ้นโดยเร็ว
จนในที่สุดการงานต่างก็สะสมพอกพูนขึ้นจนยากที่จะสะสางให้เสร็จได้โดยง่าย
ที่มาของคำพังเพย ดินพอกหางหมู มาจากการสังเกตพฤติกรรมของหมู โดยปกติของหมูมักจะชอบนอนที่มีดิน หรือโคลน
ชอบนอนกลิ้งไปกลิ้งมาจนดินติดที่หางของมัน
ถ้ามันไม่สลัดดินที่หางออก
ดินก็จะพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มันเดินและเคลื่อนไหวลำบาก และเป็นที่มาของดินพอกหางหมู
ตัวอย่างการนำไปใช้งาน “ที่ฉันรีบทำงานให้เสร็จก็เพราะไม่อยากให้เป็น
ดินพอกหางหมู ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลาส่งงานมันจะลำบาก”
ปัญญา รัตนมณี. (2549). ภาษาไทยน่ารู้
หลักภาษาน่าอ่าน สืบสานสำนวนไทย. กรุงเทพมหานคร:
ห้างหุ้นส่วนจำกัด
บางกอกบล็อก.
พัชรี มีสุคนธ์. (2548). ตำนานภาษิตไทย.
กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ห้องเรียน
จำกัด.
เอกรัตน์ อุดมพร. ๒,๐๐๐ สุภาษิตไทย. กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัด เรืองแสงการพิมพ์.
จัดทำโดย
นางสาววรรณนิสา กาญจนะศิริ รหัส ๕๙๔๑๐๑๐๐๑๘
นางสาวเมตตา
ผาริโน รหัส ๕๙๔๑๐๑๐๐๓๐
คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภษาไทย
มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น